เรื่องเล่าอีกเรื่อง
เขียนโดย
ศุกร์ 09 มกราคม 2552 @ 11:43
ผ้าขาวม้าแก้ปวดจากสถานีอนามัยป่าลานหินดาด วังม่วง สระบุรี
ผ้าขาวม้าแก้ปวด
พรพิมล เพ็ชรบุรี
สถานีอนามัยป่าลานหินดาด
อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี
“สงสัยโรคเก่าจะกำเริบ ผมกลัวจังเลยหมอ กลัวจะเป็นมะเร็ง”
ลุงน้อย อดีต อสม.ของสถานีอนามัยอีกแห่งหนึ่งใกล้ที่ทำงานของฉัน มานั่งคุยความทุกข์ของแกให้ฉันฟัง พร้อมกับโบกผ้าขาวม้าที่แกติดตัวเป็นประจำพัดไล่แมลง
ความจริงฉันรู้ว่า ลุงน้อยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ จากปากคำของลูกสาวแก แต่ก็ถูกขอร้องไม่ให้บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เพราะกลัวลุงจะยอมรับความจริงไม่ได้ คำที่บอกจากปากของฉันจึงกลายเป็นว่า
“อาจจะไม่ใช่ก็ได้นะอย่าเพิ่งคิดมากเลย หรือถ้าเป็นจริง สมัยนี้ก็มีวิธีการรักษาที่ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะคะลุง”
จากวันนั้น เมื่อปีครึ่งที่ผ่านมา ลุงน้อยมาเปรยกับฉันหลายครั้ง ฉันก็ยังไม่พูดความจริง ได้แต่บอกให้ลุงไปโรงพยาบาลตามนัด และกินยาที่หมอให้มา
เวลาผ่านล่วงเลย ลุงน้อยเริ่มมีอาการปวดกระเบนเหน็บ และปวดมากขึ้นเรื่อยๆ โรงพยาบาลจังหวัดส่งตัวไปรักษาที่ศูนย์มะเร็ง จังหวัดลพบุรี ถึงตอนนี้ไม่มีใครสามารถปิดบังเรื่องที่ลุงเป็นมะเร็งได้อีกแล้ว
ฉันได้แต่ประเมินจากความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง คิดว่าลุงน้อยไม่มีท่าทีท้อแท้หรือสิ้นหวัง เหมือนที่ใครๆ กลัวกันเลย
“หนูเห็นลุงน้อยยังแข็งแรง เอาน่า! ไม่เป็นไรหรอก ทำตามที่หมอใหญ่เขาบอกก็แล้วกัน ”
ฉันพูดไปพร้อมกับตัวลีบลง ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเป็นที่พึ่งของลุงอย่างที่ลุงตั้งความหวังไว้
หลังจากนั้น ลุงน้อยเทียวมาขอรับยาแก้ปวดเป็นประจำ บางวันปวดมากก็ขอฉีดยา ฉันปรึกษากับหมอที่โรงพยาบาลอำเภอเพื่อเบิกยาฉีดแก้ปวดอย่างแรงซึ่งเป็นยาเสพติดมาไว้ที่อนามัย สำหรับฉีดให้ลุงน้อย ด้วยโรคที่ลุกลาม อาการปวดมีมากขึ้น การฉีดยาก็ต้องถี่ขึ้น จากวันละครั้งขยับเป็น 2 ครั้ง โรงพยาบาลก็ให้เบิกยาครั้งละ 10 หลอดเท่านั้น และต้องเอาหลอดยาเดิมไปแลก บางวันยาหมดตอนเย็นพอดี จะมีเวลาออกไปเบิกยาให้ลุงก็บ่ายของวันรุ่งขึ้น
ถ้าปวดตอนกลางคืนหรือกลางวันของวันรุ่งขึ้น ลุงก็ต้องไปขอฉีดยาที่โรงพยาบาล ซึ่งมีคนรอมาก ระเบียบขั้นตอนก็ยุ่งยาก ทั้งลุงและญาติก็ไม่อยากไป
ฉันเองก็เหนื่อยและท้อ ขณะเดียวกับที่ลุงน้อยมีอาการปวดบ่อยขึ้น เริ่มมีแผลกดทับที่ปุ่มกระดูกสะโพก มีก้อนนูนบริเวณหัวหน่าว มีน้ำปัสสาวะไหลตลอดเวลา ต้องได้รับการฉีดยาแก้ปวดทุก 4 ชั่วโมง ฉันจึงส่งต่อลุงน้อยไปโรงพยาบาล แต่อาการปวดก็ไม่หาย
ครั้งหลังที่ฉันไปเบิกยาให้ลุงน้อย ฉันได้ยาไดโคลฟีแนกมาแทนยาเพททิดีนและมอร์ฟีนซึ่งขาดสต๊อก ฉันแวะไปฉีดยาให้ลุงทั้ง ๆ ที่ รู้ดีว่ามันไม่หายปวดแน่ ฉันเคยเปิดดูประวัติการรักษาที่โรงพยาบาล บ่อยครั้งที่ลุงแกไปฉีดยาตอนดึก ๆ ในเวลาที่ไม่มีแพทย์เวรเซ็นเบิกยาเพททิดีน หรือมอร์ฟีนให้ พยาบาลก็จะฉีดไดโคลฟีแนกให้ตลอด และย้ำว่าถ้าไม่หายปวดก็ให้กลับมาอีก แต่ลุงแกไม่เคยกลับไปสักครั้ง แพทย์และพยาบาลจึงสรุปกันว่าฉีดยานี้แล้วหายปวด ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมลุงไม่อยากไปฉีดยาที่โรงพยาบาล
ลุงน้อยบอกฉันว่าเพิ่งไปฉีดยามาแต่ไม่หายปวด ฉันฉีดยาไดโคลฟีแนกที่ได้มาให้แกทั้งที่ไม่แน่ใจว่าจะทำให้แกหายปวดได้หรือเปล่า แต่คืนนั้นทั้งคืนก็ไม่มีเสียงเรียกจากญาติ หรือเสียงตามทางโทรศัพท์ ตอนเช้าของอีกวันหนึ่งพี่พยาบาลจากสถานีอนามัยซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่โทรมาเล่าว่าได้ไปเยี่ยมลุงน้อย แต่ลุงแกก็ไม่บ่นว่าปวดแต่อย่างใด ฉันยังคิดว่า ยาไดโคลฟีแนกอาจทำให้ลุงหายปวดได้จริงๆ
เที่ยงครึ่งของวันต่อมา หัวหน้ามาตะโกนเรียกฉัน
“ทำอะไรอยู่ ญาติลุงน้อยเค้าโทรมาตาม ไปดูแกหน่อย เร็วเข้า”
ฉันไปถึงบ้านลุงน้อยทันที แต่แกได้จากไปแล้ว ลุงน้อยผูกคอตายด้วยผ้าขาวม้าผืนเดิมที่แกเคยใช้เป็นประจำ วันนี้ ผ้าขาวม้าที่เคยใช้โบกไล่แมลงถูกใช้โบกไล่ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานให้หมดสิ้นไปจากชีวิตของแก
ใจหนึ่งฉันพูดกับแกว่า... หลับให้สบาย ไม่ต้องทนเจ็บปวดอีกต่อไปนะลุง
แต่อีกใจหนึ่ง ฉันถามตัวเองอย่างเจ็บปวดว่า ทำไมฉันไม่เดินไปพบหมอ และพูดคุยถึงเหตุผลที่ของของการไม่กลับมาฉีดยาอีกของลุงน้อย ทำไมฉันจึงยอมรับเอายาไดโคลฟีแนกมาฉีดให้แก... ทั้งที่พอจะรู้แล้วว่า มันคงไม่ได้ผล...
|