เสียงด่า หมาเพื่อนบ้าน กับสนามบินสุวรรณภูมิ
เขียนโดย admin
พุธ 17 มกราคม 2550 @ 17:00
เย็นวันหยุด ผมมักชวนภรรยาและลูกออกไปปั่นจักรยานเล่นในหมู่บ้านที่สงบร่มรื่นของผม แต่ก็มักมีเรื่องต้องเดือดร้อนรำคาญใจ
เพราะสุนัขที่บ้านบางหลังเลี้ยงไว้เฝ้าบ้านมักเห่ากรรโชกใส่เวลาเราปั่นจักรยานผ่านไป
เพื่อความสบายใจ ผมนึกเล่นๆ เยาะเย้ยหมาว่า ชาตินี้มันคงไม่มีวันได้มาขี่จักรยานอย่างผมหรอก จะว่าไปแล้ว มันก็ไม่ต่างจากหมามองเครื่องบินที่อย่างมากก็ได้แค่เห่า
ต้องยอมรับว่า ระยะนี้ผมนึกคิดอะไรก็มักโยงใยไปถึงเครื่องบิน คงเป็นเพราะสนามบินสุวรรณภูมิที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในโลกเพิ่งเปิดใช้ คนไทยที่เห่อความฟุ้งเฟ้อพอๆ กับเห่อเศรษฐกิจพอเพียงก็พากันไปเที่ยวชมกันเป็นหมื่นคนในระหว่างวันหยุดจนส้วมไม่พอใช้
ผมไม่แน่ใจว่าหมาจะเห่าเครื่องบินเสมอไปหรือไม่ หรือเสียงหมาเห่าจะรบกวนเครื่องบินหรือเปล่า แต่ที่ผมแน่ใจก็คือเสียงเครื่องบินจากสนามบินสุวรรณภูมินั้นดังรบกวนผู้ที่อยู่อาศัยใกล้กับสนามบิน
เพราะไม่ทันจะสิ้นเสียงแซ่ซ้องฉลองเฉลิมที่ช่วยกลบกลิ่นคอร์รัปชั่นระดับโลกของสนามบินระดับโลก ก็เกิดเสียงเซ็งแซ่ขึ้นอีก
คราวนี้ไม่ใช่เสียงอึกทึกของการเฉลิมฉลอง (หรือเสียงโกลาหลของผู้โดยสารที่หากระเป๋าเดินทางไม่เจอ) แต่เป็นเสียงบ่นและก่นด่าของชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงกับสนามบินที่ต้องทนทุกข์กับเสียงเครื่องบินที่ดังสนั่นหวั่นไหวทั้งวันทั้งคืนวันละหลายร้อยเที่ยวจนไม่เป็นอันอยู่อันกิน
ปัญหาเรื่องเสียงจากสนามบินนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ตระหนักกันทั่วโลกและหลายประเทศต้องหาทางออกใหม่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การสร้างสนามบินใหม่ในผืนแผ่นดินที่เรียกว่า inland airport นั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เพราะไม่คุ้มค่ากับผลกระทบที่เกิดขึ้น
สนามบินสร้างใหม่ทุกแห่งจะถูกชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเสียงประท้วงต่อต้าน อย่างเช่น สนามบินนาริตะที่ญี่ปุ่นที่เดิมมีแผนที่จะสร้างเป็นสนามบินหลายรันเวย์ แต่หลังเปิดทำการเมื่อสร้างเสร็จเพียงรันเวย์เดียวก็ถูกประท้วงอย่างหนัก จนต้องยกเลิกแผนการขยายรันเวย์ไปโดยปริยาย ปัจจุบัน การสร้างสนามบินในญี่ปุ่นจึงต้องหันไปสร้างโดยการถมทะเลหรือสร้างเป็นแท่นยื่นออกไปในทะเลแทน ซึ่งก็มีคนทักท้วงว่าจะทำความเดือดร้อนให้กับกุ้ง หอย ปู ปลาไม่น้อย
เพราะธรรมชาติของเสียงนั้นเดินทางในตัวกลางที่เป็นน้ำได้ดีกว่าในอากาศ
เสียงในน้ำจึงดังกว่าเสียงในอากาศไปด้วย
จะว่าไปแล้ว ในแวดวงการศึกษาเรื่องผลกระทบของเสียงจากสนามบินนั้นต้องเข้าใจธรรมชาติของเสียงในหลายมิติ ทั้งเรื่องแหล่งกำเนิดเสียง ตัวกลาง และผู้รับเสียง เช่น เสียงเครื่องบินเป็นเสียงที่เปล่งออกจากต้นกำเนิดที่ลอยในอากาศ พลังงานเสียงจะถูกส่งผ่านพื้นดินและโครงสร้างบ้านเรือนพร้อมๆ กับคลื่นเสียงที่เดินทางในอากาศ
ลักษณะที่ว่าทำให้การแก้ไขด้วยการเอาวัสดุกันเสียงไปกรุที่หน้าต่างหรือหลังคา มักไม่ค่อยได้ผล เพราะพลังเสียงต่างจากพลังงานแสงตรงที่เสียงมีความสามารถในการทะลุทะลวงและส่งผ่านข้ามตัวกลางต่างชนิดได้ง่าย
เครื่องบินยังบินตอนกลางคืนด้วย การวัดเสียงเพื่อประเมินผลกระทบสนามบินจึงมีการปรับเพิ่มค่าความดังสำหรับเสียงเครื่องบินในตอนกลางคืน คือ ต้องบวกเพิ่มไปอีก 30 เดซิเบลจากค่าที่วัดได้
เพราะถือว่าเสียงดังตอนกลางคืนรบกวนมนุษย์มากกว่ากลางวัน
นอกจากปรับเพิ่มสำหรับเสียงตอนกลางคืนแล้ว ยังมีการปรับค่าความดังตามธรรมชาติการรับรู้ของหูมนุษย์ที่ไวต่อเสียงในย่านความถี่ต่าง ๆ ไม่เท่ากัน คือเสียงที่สูงมากๆ หรือต่ำมากๆ แม้จะมี ความดัง มาก แต่มนุษย์จะไม่ได้ยินเสียงนั้น
เพราะหูของมนุษย์ไม่ไวต่อเสียงในความถี่นั้นๆ นั่นเอง
ต่างจากช้างซึ่งไวต่อเสียงความถี่ต่ำ จึงได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวแต่ไกลของคลื่นสึนามิซึ่งมีความถี่ที่ต่ำมากๆ หรือสุนัขที่ไวต่อเสียงความถี่สูง จึงมักเห่าหอนเสียงกระดิ่งจักรยานซึ่งมีองค์ประกอบของเสียงความถี่สูงอยู่มาก (แต่ผมสาบานได้ ไอ้ตัวที่ผมพูดถึง มันเห่าใส่ผมโดยที่ผมไม่ได้ใช้กระดิ่งอะไรเลย)
การวัดเสียงที่อาจก่อให้เกิดความรำคาญจึงต้องมีการให้คะแนนหรือการถ่วงน้ำหนักเสียงสูงเสียงต่ำให้ไม่เท่ากัน เช่น ให้น้ำหนักการรบกวนมากกับเสียงในย่านความถี่ที่มนุษย์มีความไวในการได้ยิน เป็นต้น
ถือว่าเป็นวิธีการประเมินที่น่าสนใจเพราะมีการวัดทางภาวะวิสัย (ความจริงภายนอก) โดยเอามิติทางอัตวิสัย (หรือความจริงในความรู้สึก) มาประกอบการประเมินด้วย
แต่การวัดเสียงทั้งหลายที่ว่ามา แม้จะมีความละเอียดอ่อนก็ยังเน้นเฉพาะมิติทางกายภาพของพลังงานเสียงที่มีผลต่อมนุษย์เท่านั้น ในทางมานุษยวิทยาแล้ว เสียงไม่ได้มีคุณสมบัติทางกายภาพ เช่น ความถี่หรือความดังอย่างเดียว แต่มีมิติทางวัฒนธรรมและความหมายทางสังคมด้วย
พูดอีกอย่าง เสียงไม่ได้เป็นแค่พลังงาน แต่มีคุณสมบัติในเชิงสัญลักษณ์ด้วย
หมายความว่า สุนัขในหมู่บ้านที่เห่าใส่ผมตอนที่ขี่จักรยานผ่านนั้น ผมไม่ได้เดือดร้อนจากเสียงเห่าที่ดังหนวกหูเท่าไรนัก แต่ที่ผมเดือดร้อนและเดือดดาลขึ้นทันที ก็เพราะเสียงเห่านั้นมันเป็นสัญลักษณ์ของความงี่เง่าของเจ้าของบ้านที่ปล่อยปละให้สุนัขของตนให้มาเที่ยวไล่เห่าสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน (อ้อ
แล้วก็อีกอย่าง ไอ้หมาพวกนี้แหละที่มันเที่ยวขี้เรี่ยราดไว้ทั่วซอยโดยเจ้าของมันก็ไม่สนใจเก็บกวาดด้วย)
ยิ่งเห็นเจ้าของบ้านนั่งดูทีวีเฉยอยู่โดยไม่แยแสกับชะตากรรมของคนชอบปั่นจักรยานอย่างผมแล้ว เสียงหมาเห่าก็น่ารำคาญและน่าโมโหยิ่งขึ้นไปอีก
เสียงหมาเห่าจึงเต็มไปด้วยความหมายที่บ่งบอกและตอกย้ำความรู้สึกนึกคิดและความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานระหว่างผมกับเพื่อนบ้าน
ผมติดตามข่าวการเรียกร้องให้รัฐและการท่าอากาศยานฯ มาดูแลแก้ปัญหาเรื่องเสียงดังจากเครื่องบินแล้ว ดูเหมือนการท่าอากาศยานฯ จะมีพฤติกรรมไม่ต่างจากเจ้าของหมาในหมู่บ้านผมที่ไม่แยแสกับความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ไม่เคยไปดู ไม่เคยไปเยี่ยมหรือไปรับฟังปัญหา ไม่เคยพูดอะไรให้ชัดเจนว่าจะช่วยเหลือหรือแก้ปัญหาอย่างไร ในขณะที่ลูกหลานชาวบ้านร้องไห้กระจองอแง นอนไม่ได้ ตกใจสะดุ้งกับเสียงดังสนั่นหวั่นไหวของเครื่องบิน
หากการท่าอากาศยานไม่ใส่ใจกับความรู้สึกนึกคิดของผู้ได้รับผลกระทบให้ดีพอ ก็จะทำให้เสียงของเครื่องบินที่มีความดังน่ารำคาญมากอยู่แล้ว กลายเป็นเสียงที่มีทั้งความดังที่น่ารำคาญและความหมายที่ตอกย้ำความรู้สึกที่เลวร้าย
เสียงเครื่องบินที่บินขึ้นบินลงทุกครั้งจะกลายเป็นเสียงของความไม่เป็นธรรม เสียงของการละเมิดสิทธิมนุษยชน เสียงของการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เสียงของสัญญาที่ถูกหักหลัง หรือเสียงของรัฐวิสาหกิจที่มุ่งเน้นกำไรโดยไม่แยแสต่อชีวิตและครอบครัวที่กำลังถูกกระทำย่ำยี
เสียงที่ทุกครั้งที่ได้ยินบ่งบอกและตอกย้ำความเกลียดและความเคียดแค้นที่ถูกละเมิดความเป็นมนุษย์
ถึงตอนนั้น การให้เงินค่าชดเชยความเสียหายตามระดับเดซิเบลก็หมดความหมาย เพราะไม่ว่ามันจะกี่เดซิเบล มันก็เป็นเสียงของการกระทำย่ำยีหรือละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สร้างความเจ็บแค้นได้พอๆ กัน
เหมือนกับเสียงคนที่มายืนด่าทอบุพการีของคุณ ไม่ว่าเสียงด่าจะดังอยู่ริมรั้วหรือดังแว่วมาจากปากซอยมันก็ไม่สำคัญแล้ว
เพราะมันมีความหมายเดียวกันคือมันกำลังล่อบุพการีคุณอยู่
ดังหรือเบาไปกี่เดซิเบลก็ไม่สำคัญ
ที่สำคัญคือ มันทำให้เกิดอาการ กูยอมไม่ได้ (โว้ย)
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ คิดสลับขั้ว
นิตยสาร WAY
ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙
|