สัมมนาวิชาการสังคมและสุขภาพ 2552
เขียนโดย gam pata
พุธ 06 มกราคม 2553 @ 07:41
สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพจัดประชุมเรื่องประวัติศาสตร์ สุขภาพและความทรงจำเมื่อ สิงหาคมทีผ่านมา โดยมีนักประวัติศาสตร์ นักสังคมศาสตร์ นักวิจัยด้านสุขภาพชุมชน นักพัฒนาเอกชน และผู้สนใจกว่า 50 คน สัมมนาแลกเปลี่ยนทางวิชาการ
มีวัตถุประสงค์คือ
1) เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ประวัติศาสตร์ด้านสุขภาพให้สามารถขยายกรอบแนวคิด และวิธีการศึกษาให้กว้างออกไปจากพัฒนาการการแพทย์และการสาธารณสุขของรัฐไทย
2) เป็นเวทีการประสานแนวคิดและปฏิบัติการทางสังคมของคนทำงานด้านสังคมและสุขภาพ ในวาระหนึ่งของการขับเคลื่อนงานประวัติศาสตร์สุขภาพที่สร้างสำนึกใหม่ของ ระบบสุขภาพที่ไม่ได้มีการแพทย์ระบบเดียว
3) เป็นพื้นที่การสนทนาความรู้และปฏิบัติการเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายทางวิชาการประวัติศาสตร์ สังคมวิทยามานุษยวิทยาและสุขภาพ
สรุปการสัมมนาวิชาการสังคมและสุขภาพ ปี 2552
วันที่ 4-6 สิงหาคม 2552 ณ สวนสามพราน โรสการ์เด้น ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม
การสัมมนาวิชาการสังคมและสุขภาพ ปี 2552 วันที่ 4-6 สิงหาคม 2552 ณ สวนสามพราน โรสการ์เด้น ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท จังหวัดนครปฐม วาระการจัดสัมมนาประจำปีของสำนักวิจัยสังคมและสุขภาพปีนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นพื้นที่การสนทนาความรู้และปฏิบัติการเพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายทางวิชาการประวัติศาสตร์ สังคมวิทยามานุษยวิทยาและสุขภาพ โดยการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ตลอดจนแนวทาง วิธีการ และประสบการณ์ ในการทำงานด้านประวัติศาสตร์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้มิติทางประวัติศาสตร์ของปัญหาสาธารณสุขร่วมสมัย จากการสนับสนุนงบประมาณของสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จึงมีผลทำให้เกิดการขยายความร่วมมือการทำงานสังคมและสุขภาพกับเครือข่ายนักวิชาการ สถาบันการศึกษาและเครือข่ายสุขภาพชุมชนที่กำลังดำเนินงานและมีความเคลื่อนไหวด้านประวัติศาสร์และพิพิธภัณฑ์สุขภาพ ให้นำไปสู่การขับเคลื่อนงานหอจดหมายเหตุและพิพิธภัณฑ์สุขภาพไทย
ผลการสัมมนามีครั้งนี้ ได้รับทั้งเนื้อหาและความร่วมมือในการทำงานสร้างองค์ความรู้ประวัติศาสตร์สุขภาพในอนาคต เป็นการขับเคลื่อนการสร้างความรู้สุขภาพกับสังคมผ่านสาขาความรู้ด้านประวัติศาสตร์ เวทีการนำเสนอ อภิปรายและแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ของเครือข่ายนักวิชาการหลายสาขา จำนวน 86 คน ในประเด็นหัวข้องานด้านหอจดหมายเหตุ พิพิธภัณฑ์ และประวัติศาสตร์สุขภาพ จึงสรุปผลการสัมมนาได้ดังนี้
1. พิพิธภัณฑ์มีความหมายได้มากกว่าแหล่งอนุรักษ์วัตถุสิ่งของทางวัฒนธรรมแต่สามารถเป็นกระบวนการที่บอกเรื่องราวภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีความหวังมีความเจ็บปวด บอกเล่าความเป็นมาและเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตตามยุคสมัยได้พิพิธภัณฑ์จึงเป็นพื้นที่การเรียนรู้และทำความเข้าใจมนุษย์ที่แตกต่างทางวัฒนธรรมแต่มีความรู้สึกนึกคิดที่แบ่งปันกันได้ ประสบการณ์เรียนรู้ตรงจากการทำงานของวิทยากรได้ขยายกรอบแนวคิดให้การจัดทำพิพิธภัณฑ์สุขภาพที่จะเกิดขึ้นต่อไปยั่งยืนได้นั้น คือการทำให้พิพิธภัณฑ์มีชีวิต ให้ชีวิตและผู้คนเป็นตัวตั้งการเดินเรื่อง และมีชีวิตผู้คนร่วมคิดและดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ อย่างมีเจตจำนง โดยการจัดการที่ดีอีกทั้งมีเครือข่ายเชื่อมโยงการทำงานกันตั้งแต่ขั้นเริ่มต้น
2. ประวัติศาสตร์เป็นความทรงจำร่วมของผู้คนในสังคม ประวัติศาสตร์สุขภาพจึงมาจากความทรงจำร่วมของคนทุกคนในสังคมที่มีประสบการณ์ร่วมกันแต่ละยุคสมัย ความรู้ทางประวัติศาสตร์สุขภาพจึงมีหลายชุดที่ต้องนำมาเชื่อมโยงกัน ซึ่งจะเข้าใจรากเหง้าเชิงโครงสร้างที่กำกับการเขียนประวัติศาสตร์ จนเห็นแต่ประวัติศาสตร์เชิงสถาบัน แต่กรณีการศึกษาและทำงานทางมานุษยวิทยาร่วมกับการใช้วิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ทำให้เห็นประวัติศาสตร์ที่มีมนุษย์ตัวเล็กตัวน้อยเป็นองค์ประธาน จากกรณีกลุ่มผู้ติดเชื้อของกลุ่มชาติพันธุ์ที่นำมาเสนอในเวที ประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือการเรียนรู้จักรากเหง้าความเป็นมาของตนเองและบรรพบุรุษ กระบวนการเรียนรู้ประวัติศาสตร์กลายเป็นการสร้างความทรงจำร่วมกันจนเกิดพลังของกลุ่มและชุมชนที่เรียนรู้ร่วมกัน ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ที่เกิดขึ้น
3. การสัมมนาผู้รู้เห็นประวัติศาสตร์สุขภาพ เป็นวิธีการใหม่ที่เริ่มทดลองนำมาใช้ในสังคมไทย ในรูปแบบการสนทนาของกลุ่มบุคคลผู้อยู่ในช่วงเวลาและเหตุการณ์เดียวกัน บทสนทนานี้ไม่ใช่คำอธิบายทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นความพยายามในการผลิตหลักฐานชั้นต้น ทั้งในรูปการบันทึกเสียง การถอดเทปบันทึกการจัดพิมพ์ที่มีการค้นคว้าอ้างอิง เป็นข้อเท็จจริงที่นำมาจัดเก็บไว้รอให้นักประวัติศาสตร์มาค้นคว้าต่อไป ซึ่งก่อให้เกิดบทเรียนในการจัดครั้งต่อ ๆ ไป คือ
3.1ก่อนจัดสัมมนาผู้รู้เห็นแต่ละหัวข้อ ควรมีขั้นตอนการค้นคว้าศึกษาเรื่องนั้นอย่างรอบด้าน ให้รู้ถึงบริบทและข้อถกเถียงสำคัญ ๆ รวมถึงบุคคลที่เกี่ยวข้อง
3.2 หอจดหมายเหตุสุขภาพมีภารกิจการรวบรวมและจัดระบบเอกสารชั้นต้น สำหรับให้นักประวัติศาสตร์และผู้สนใจมาค้นคว้า โดยไม่เคยรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าข้อมูลที่เก็บรักษาไว้นี้จะมีการนำไปใช้และตีค่าให้ความหมายอย่างไร คือข้อเท็จจริงทุกคำพูดข้อมูลทุกชิ้นจึงมีคุณค่าบางอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ฉะนั้นกระบวนการบันทึก สืบค้น ตรวจสอบและจัดเก็บจึงสำคัญมาก แม้แต่
ระบบบันทึกเสียงที่เป็นเรื่องเทคนิคยิ่งไม่ควรพลาดเลย
3.3 หอจดหมายเหตุสุขภาพน่าจะมีบทบาทส่งเสริมการวิจัยค้นคว้าโดยการประชาสัมพันธ์ กระตุ้นและสนับสนุนทุนแก่นักศึกษา โดยตั้งเงื่อนไขว่า ให้ค้นคว้าใช้และอ้างอิงเอกสารจากหอจดหมายเหตุ ซึ่งเป็นการทำให้เกิดงานศึกษาวิจัยใหม่ ๆ และใช้ทุนไม่มากนัก
สรุปโดย ปารณัฐ สุขสุทธิ์
|